Search

วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2554

The secret of Living life-หนังสือสุดยอดเดอะซีเคร็ต

"ชีวิตเหมือน ช็อคโกแลต ในกล่อง ที่คุณไม่เคยรู้เลยว่า chocolate ชิ้นที่เราเลือกหยิบขึ้นมากิน เป็นแบบไหน" จากเรื่อง “Forrest Gump”
pick up your favourite chocolate

ไม่น่าเชื่อว่า คำพูดอัจฉริยะ จากคนที่เหมือนปัญญาอ่อน อย่าง Gump นั้นเป็นความจริงเรื่องหนึ่งทีเดียว เพราะเราไม่มีวันรู้เลยว่า chocolate ชิ้นไหนเป็นแบบไหน แต่ล้วนแล้ว เป็นเราเองที่เลือกแต่ละชิ้นด้วยความตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจ

ถ้าวันนี้เรายังเลือก ช็อคโกแลต ที่เราพอใจได้ แล้วทำไมเราถึงจะไม่เลือกมันล่ะหลายๆ ครั้ง การตัดสินใจ หรือ การเลือกอะไรสักอย่างในชีวิต มาจากปฐมเหตุ คือ สิ่งที่เรียกว่า"ทัศนคติ" และนั่นทำให้เรามองปัญหาเป็น ภูเขา หรือ เนินเขา ความยากหรือง่าย ไม่ว่าเรื่องใด เป็นเพราะมุมมองที่เรามองออกไปว่าเป็น เรื่องยาก หรือเรื่องง่าย

ด้วยพลังแห่งความคิด และความเชื่อ หรือ เป็นความลับของจักรวาล อย่างที่ หนังสือ “สุดยอดเดอะซีเคร็ต" ได้กล่าวถึง กฎการทำงานระหว่างจิตใจมนุษย์กับ กฎแห่งจักรวาล ที่สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจโลกในแง่มุมใหม่ ไม่ใช่ด้วยกฎทางฟิสิกส์ แต่ด้วย “ภูมิปัญญาโบราณ

The Secret of Life


ในหนังสือกล่าวถึง การที่เราต่างได้เรียนรู้กันมาถึง กฎทางฟิสิกส์หรือ กฎทางวัตถุ คือ เมื่อโยนลูกแอปเปิลขึ้นไปในอากาศ มันก็จะตกลงมายังพื้นโลกตามกฎของแรงโน้มถ่วงนั่นเป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติ เพราะแรงดึงดูดของโลก ที่ตรึงทุกสิ่งไม่ให้ล่องลอยไปในอวกาศ

แต่มีน้อยคนที่จะรู้ว่า ด้วยจิตใจของคนเราก็สามารถสร้างแรงดึงดูดได้เช่นกัน การที่จิตใจเรา"คิดและมุ่งหวังอย่างจริงจัง“ ถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ทั้งในระดับจิตสำนึก หรือจิตใต้สำนึก นั่นหมายถึงจิตใจเรากำลังสร้าง “แรงดึงดูด” ดึงเอาสิ่งที่คิดหวังไว้ให้เข้ามาหา ตาม “กฎแห่งแรงดึงดูด” อันเป็นกฎธรรมชาติแห่งจักรวาล

นี่เองที่ทำให้ผู้ที่ “คิด” และ “เชื่อ” ว่าตนเองจะประสบความสำเร็จ ร่ำรวย เจริญรุ่งเรือง ได้รับความรัก หรือจะหายป่วยจากโรคร้ายแรงที่หมดทางรักษา ก็สามารถเป็นไปตามนั้นได้จริงๆ ซึ่งต่างจากผู้ที่ไม่เคยคิดหรือไม่เคยเชื่อในตัวเองแบบนั้นเลย

หากลองคิดดู การที่เรามุ่งมั่นและตามล่าฝันในสิ่งที่เรามุ่งหวัง อย่างจริงจัง อาจเรียกได้ว่า เป็นความศรัทธาต่อความฝัน และความหวังนั้นๆ   และเมื่อเราเกิดศรัทธา ทั้งความคิดและความเชื่อ คงต้องถูกฝังลงในจิตใต้สำนึกอย่างแน่นหนา จึงไม่แปลก ที่ตัวเราเองจะต้องเกิดการเรียนรู้ เพื่อจะได้ดำเนินวิถีชีวิตในรูปแบบที่เรามุ่งหวังจะเป็น

ตัวอย่าง ถ้าเราอยากเป็นคนที่มีอนาคตที่ดีขึ้น มีฐานะดีขึ้น แน่นอนที่เราต้องพยายามเรียนรู้ ว่าเราควรรู้สิ่งใดบ้างนอกจากสิ่งที่เรารู้ในวันนี้ เราต้องเลือกศึกษาและเรียนรู้สิ่งที่จะทำให้ชีวิตเราไปในทางที่เราอยากเป็น เราต้องหาเครื่องมือต่างๆ เพื่อพัฒนาศักยภาพตัวเราเองเพื่อให้เกิดผลแบบนั้น

เพราะคงเป็นไปไม่ได้ ที่เราจะเดินบนความสำเร็จที่มุ่งหวัง โดยที่เรายังไม่ได้มีความสามารถเพียงพอ ที่จะยืนอยู่ ณจุดนั้น...

คุณว่าถูกไหม และนั่นอาจหมายถึง ความลับของกฎแห่ง “สุดยอดเดอะซีเคร็ต”

วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Khao- Kho ไปเที่ยวเขาค้อ

ไปเที่ยวเขาค้อกันเถอะ

Khao-Kho View
เขาค้อ สถานที่ท่องเที่ยวแบบภูเขา ภูเขา ที่มีชื่อเสียงของจังหวัดเพชรบูรณ์ และเหมาะมาก สำหรับคนชอบอากาศหนาว ใครจะเคยคิดว่า ย้อนหลังไป ปี 2508 เขาค้อนี่แหล่ะ เคยเป็น เป้าหมายของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ที่จะยึดเป็นฐานที่มั่น หลังจากที่ ผกค.ได้แทรกซึมและยึด ภูหินร่องกล้าเป็นที่มั่นไปแล้ว


Khao-Kho Map
ถ้าหากใครเคยไป เขาค้อ จะเห็นว่ามีสภาพภูมิประเทศที่เป็นป่ารกทึบ สูงชัน ในอดีตการตรวจการณ์ทางอากาศและทางพื้นดิน ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ และตามเทือกเขาต่าง ๆ ก็มีถ้ำอยู่อีกเยอะ เลยกลายเป็นที่ที่ ผกค. เล็งไว้เป็นที่หลบซ่อน และ สะสมอาวุธ เสบียง และที่สำคัญยังเป็นแหล่งอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก


Another Khao-Kho View
การสู้รบระหว่างรัฐบาลไทยกับพรรคคอมมิวนิสต์ มีต่อมาหลายปี ซึ่งกว่าจะกวาดล้างและทำลายฐานของ ผกค. ได้สำเร็จในปี 2524 ทหารผู้กล้าต้องพลีชีพไปกับสงครามมากมาย
แต่อิทธิพล ผกค. ยังคงหลงเหลืออยู่ทำให้เสียงปืนยังไม่หยุดลงอย่างจริงจัง จนเกือบกลางปี 2525 ความเงียบสงบจึงเกิดขึ้น
ถ้าใครไปเขาค้อและอยากเรียนรู้ถึงเรื่องราวการรบในอดีต ต้องขึ้นไปที่พระตำหนัก และเดินขึ้นไปบนเขาจะพบป้ายบอกเวลาของการต่อสู้ การยึดพื้นที่คืนจาก ผกค. บนขั้นบันไดทางขึ้น แล้วจะรู้สึกเลยว่า มันช่างยากเย็นจริงๆ กับการขึ้นยอดเขาของเหล่าวีรชนในวันวาน  เมื่อเทียบกับการเดินขึ้นเขาของเราในวันนี้
Khao Kho in the morning
Kanjanaphisek Temple located on Khao Kho



เขาค้อ ปัจจุบันไม่หลงเหลือความน่ากลัวอย่างในอดีต มีเพียงหมอกยามเช้า และอากาศที่สดชื่น เส้นทางคดเคี้ยวที่สวยงาม และแวะสักการะ พระบรมฐาตุเจดีย์กาญจนาภิเษก เที่ยวน้ำตกศรีดิษฐ์  เกษตรที่สูง และยังแวะเที่ยวได้อีกหลายที่เยอะแยะมากมาย
วิวบนเขาค้อ ดอกไม้บนเขาค้อ
วิวจากบ้านพักบนเขาค้อ ชุดโต๊ะนั่งเล่นของดีเอี่ยมภูดวยรีสอร์ทบนเขาค้อ

วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2554

โกลเด้นดร้าก้อนรีสอร์ท โรงแรมสิงห์บุรี Golden dragon Singhburi

Room of Golden dragon hotel

หลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมและต้องไปทำงานโซนจังหวัดลพบุรี-สิงห์บุรี-อ่างทอง ตอนแรกก็ไม่แน่ใจว่ายังพักที่พักเดิมได้ไหม
โรงแรมโกลเด้นดราก้อนสิงห์บุรี เลยเป็นตัวเลือกเพื่อใช้เป็นพักหลังเลิกงานในแต่ละจังหวัด ซึ่งโดยระยะทางไปมาระหว่างโรงแรม และ 3 จังหวัดนี่ ก็ไม่ไกลจนเกินไป ที่สำคัญคือมี Wifi ฟรี หลายที่ที่เคยไปมักมีปัญหานี้บ้างเช่นต้องจ่ายเพิ่ม หรือช้ามาก ซึ่งถ้าเลือกได้จะไม่เข้าใช้บริการอีกเป็นรอบสองแน่ๆ

Double bed of golden dragon hotel

โกลเด้นดราก้อน เป็นโรงแรมเปิดใหม่ที่มีความหรูพอสมควร ตอนแรกๆ ไม่ได้คิดเข้าไปพักเลย เพราะดูจากรูปร่างหน้าตาโรงแรมแล้ว สงสัยไว้ก่อนว่าจะแพงมากไปนิดสำหรับการมาพักหลังเลิกงานเพราะจะกลายเป็นโสหุ้ยเราจะสูงเกินไป

แต่พอเช็คห้องพัก ผิดคาดเพราะราคารวมค่าอาหารเช้าแบบบุฟเฟ่ต์ ไม่ถึงเจ็ดร้อยบาท เจ้าหน้าที่บอกว่าช่วงนี้ เป็นราคาโปรโมชั่น แต่แอบหวังลึกๆ ว่าน่าจะโปรฯ ไปเรื่อยๆ คงดี (ปัจจุบันห้องพักสองคนแบบ Standard 750 บาทแล้ว)
ได้ห้องพักที่ชั้น 4 แล้วพอดีไปพักกัน 3 คน เลยต้องขอบวกเตียงเสริมไปอีก 350 บาท มาคุยกันถึง ในห้องพักดีกว่า ในห้องแต่งไฟได้สวย เฟอร์นิเจอร์ดูดี มี ทีวี ตู้เย็น น้ำอุ่น ไวร์เลส ผ้าขนหนูชุดละ 2 ผืน คือผืนเล็กและผืนใหญ่ สบู่ แชมพู หมวกชาวเวอร์ โลชั่น ครบครัน ทั้งพักและทำงานจริงๆ

golden dragon hotel

ในห้องแบ่งพื้นที่ออกด้วยผ้าม่านโปร่ง 2 ชั้น แยกส่วนของห้องนอน และส่วนของเทอเรซ มีโต๊ะเก้าอี้จัดไว้ 1 ชุดสำหรับสองคนนั่ง คงเอาไว้ให้ชมวิวสวยๆ นอกหน้าต่าง
golden dragon hotel


และมีห้องพักแบบ Twin คือเป็นห้องเตียงคู่ ซึ่งก็จัดไว้สวยแปลกตาไปอีกแบบ Facilities อื่นๆ เหมือนกับห้องเดี่ยวทุกอย่าง

มีบุฟเฟ่ต์เช้า โดยรวมพอใช้ได้ มีความหลากหลาย ชา กาแฟ นม ซีเรียล ข้าวต้ม ทั้งอาหารไทย และ อาหารเช้าแบบฝรั่ง ทานได้ตามใจชอบเลย อิ่มแปร้ก่อนไปทำงานสบายๆ

Twin room of Golden dragon resort
Twin room of Golden dragon resort#2

โกลเด้นดร้าก้อนรีสอร์ท มีห้องน้ำ 2 ประเภท(เท่าที่เคยพัก)เป็นอ่างอาบน้ำ (Bathtub)
กับตู้ชาวเวอร์ (Shower)มีฝักบัวแบบฝังผนัง ส่วนตัวชอบชาวเวอร์ แต่อ่างอาบน้ำก็โอเคนะ ตู้ชาวเวอร์แคบไปนิดสำหรับคนตัวใหญ่นิดนึงและจะเกิดความเสียหายเร็วกว่าอ่างอาบน้ำ แต่น้ำจากฝักบัวของตู้ชาวเวอร์เส้นเล็กมากไปหน่อย
golden dragon hotel
golden dragon hotel

มีที่จอดรถรองรับผู้เข้าพักโรงแรมกว้างขวางเป็นพื้นที่รอบๆตัวตึก ซึ่งน่าจะรองรับการจัดสัมมนาต่างๆ ได้สะดวกพอควรเลย

golden dragon hotel

วันเสาร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว เพชรบูรณ์ Wat PhaKaew Petchaboon

สำหรับผู้ที่ต้องการปฎิบัติธรรม หรือ ร่วมทำบุญก่อสร้างพระอุโบสถ,พระเจดีย์ อาคารผู้ปฎิบัติธรรม รวมถึงอาคารเรียนที่วัดพระธาตุผาแก้ว สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.phasornkaew.org/

วัดผาซ่อนแก้ว หรือวัดผาแก้ว ตั้งอยู่บนดอย ใกล้อบต.แคมป์สน หากไม่ได้เข้าทางสี่แยกพ่อขุนผาเมือง หรือตัดเข้าจากบายพาส ให้เลี้ยวขวาตัดเข้าถนนหมายเลข 12 เมื่อถึงแยกกกโอตรงไปไม่ไกลก็จะเห็นป้ายเขียนว่าวัดผาซ่อนแก้วด้านซ้าย ซึ่งจะแยกขึ้นวัดทางนี้เลยก็ได้ แต่ทางจะเล็กและชันบ้าง อีกทางคือไปกลับรถหน้าธนาคารกสิกรไทย

แต่ถ้าขับขึ้นจากทางแยกนางั่ว จะผ่านเขาค้อมาระยะหนึ่งแล้วเมื่อถึงแยกแคมป์สนซึ่งถ้าเลี้ยวซ้ายจะแยกไปพิษณุโลก ให้เลี้ยวขวามาเลยไม่ไกลนักจะเห็นจุดสังเกตุแบบไม่น่าเชื่อ คือ เซเว่น อีเลฟเว่น ต้้งอยู่ใกล้ทางขึ้นวัดผาแก้วแห่งนี้
Pha son kaew Temple

สถาปัตยกรรมของวัด สวยงามมาก ไม่ใช่ด้วยความสมบูรณ์แบบ แต่เป็นแนวการตกแต่งที่พิเศษกว่าที่เคยเห็นทั่วไป ไม่ว่าเป็นพื้นหรือผนังของวัด แทบจะทั้งหมด ถูกตกแต่งด้วย กระเบื้องที่แตกหักแล้ว มีหลากหลายสี ลูกแก้วหลากสี หลายรูปแบบ เครื่องเบญจรงค์ ต่างขนาด ที่แตกหักบ้าง รูปบ้างไม่สมบูรณ์บ้าง มารวมอยู่ในที่เดียวกัน สร้างความงาม รูปแบบใหม่ อย่างที่เราคาดคิดไม่ถึง

Pha son kaew Temple view
floor decorating of Pha son kaew temple


ของที่แตกหัก แตกร้าวแล้ว ไม่ได้เป็นของที่เสียแล้วใช้ไม่ได้เสมอไป ทั้งยังไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไรเลย ถ้าคิดจะสร้างสรรค์ให้เกิดสิ่งดี ๆ ได้อย่างไม่มีข้อจำกัด

ความสวยงาม มีอยู่ทั่วไปหมด บนวัดผาซ่อนแก้ว เกิดความรู้สึกว่าเราได้พบสิ่งที่แทบเป็นไปไม่ได้ บนพื้นดินแห่งนี้


ด้วยเส้นทางที่ขึ้นวัดเป็นทางชันมาก และเมื่อคิดว่า 7 ปีที่แล้วที่เริ่มสร้าง จึงเป็นเรื่องที่ยากมากๆ



นับแต่อดีต สิ่งที่เคยเป็นหรืออาจจะเป็นสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ ไม่เคยเอาชนะความมานะของคนเราได้จริงๆ

ความมุ่งมั่นและมานะ ของคนเรานี่แหล่ะ ที่สร้างสรรค์หลายๆ อย่างไว้กับโลกอย่างน่าอัศจรรย์


ความสวยงามไม่ได้ขึ้นอยู่กับมาตรฐานใดมาตรฐานหนึ่ง สิ่งละอันพันละน้อยที่รวมกันกลับสร้างความงามได้น่าตื่นตาตื่นใจยิ่งกว่ามาก

Buddha statue on pha son kaew temple
 
องค์พระพุทธรูปมีความวิจิตรและงดงามรวมถึงช่องหน้าต่างทรงกลมเสริมให้ดูสวยงามยิ่งขึ้น
 
WatPhasornkaew
WatPhasornkaew
มีบันได ที่วนขึ้นสู่ด้านบน ดูแล้วซับซ้อนลึกลับ และทำทางลงไปถึงสวนด้านล่างไว้หลายทาง การตกแต่งแต่ละด้านแตกต่างภายใต้คอนเซปท์เดียว สร้างความงามทุกมุมแบบไม่ซ้ำ เพราะโดยรวมโครงสร้างนั้นเป็นสไตล์เดียวกัน แต่รายละเอียดการตกแต่งพื้นผิวของผนังพื้นนั้นจะมีเอกลักษณ์ของแต่ละด้านที่แตกต่างกัน
5 Buddha statue

พระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ฐานขนาด 51 เมตร ยาว 72  ความสูง 45 เมตร ซึ่งอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง จากมุมด้านนี้เห็นทิวทัศน์สวยงามทั้งจากธรรมชาติและสองมือมนุษย์ที่ร่วมใจกันก่อร่างความงดงามที่ยากเกินบรรยาย เหมือนภาพฝันผ่านระเบียงชั้นบนของวัด ได้เห็นภูเขา หุบเหว ท้องฟ้า ที่สุดลูกหูลูกตา

หากขึ้นชมวัดในช่วงปลายปี อากาศบนวัดอาจจะเย็นมาก และถ้าเกิดมีลมพัดแรงยิ่งหนาวเป็นทวีคูณ และ สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือไม่ควรใช้เสียงดัง เพราะที่นี่เป็นสถานที่ที่ทางวัดจัดเตรียมไว้ สำหรับการปฎิบัติธรรม
พระพุทธรูปบนวัดผาแก้ว
การตกแต่งลวดลายด้วยวัดสุที่หลากหลายในวัด
วัดผาซ่อนแก้ว


สำหรับผู้ที่ต้องการปฎิบัติธรรม หรือ ร่วมทำบุญก่อสร้างพระอุโบสถ,พระเจดีย์ อาคารผู้ปฎิบัติธรรม รวมถึงอาคารเรียนที่วัดพระธาตุผาแก้ว สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.phasornkaew.org
อีกมุมหนึ่งภายในวัดผาซ่อนแก้ว
อีกมุมหนึ่งภายในวัดผาซ่อนแก้วเป็นโถงโล่ง,เสาแต่ละต้นตกแต่งแบบ Theme เดี่ยวกัน แต่ไม่เหมือนกัน
พื้นที่ตกแต่งอย่างงดงาม
พื้นที่ถูกตกแต่งด้วยกระเบื้องที่แตกและวัสดุอื่นๆ ไว้อย่างงดงามแปลกตา

วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2554

แวะพักกินกาแฟ Petchaboon Namchun

Mountain View at coffee shop at Namchun Petchbun
น้ำท่วมกรุงเทพฯ ช่วงนี้ เลยได้โอกาสหนีน้ำ ขึ้นเพชรบูรณ์จังหวัดนี้เป็นจังหวัดที่ชอบจริงๆเลย
วิวที่สวยตอนขับรถขึ้นมา ระหว่างทางจะ เขียวอุดมสมบูรณ์ ถ้าช่วงฤดูหนาวแล้วปีไหนอากาศเย็นมาก จะเห็นต้นไม้ข้างทางเป็นสีเหลืองทอง ทั่วไปหมด สวยอีกแบบ

หลังร้านกาแฟโรงสีมีวิวภูเขาสวยๆ ตั้งอยู่ก่อนทางแยกไปพิษณุโลก หรือไปภูทับเบิก ช่วงที่ไปอุณหภูมิเริ่มลดลง อากาศดีมาก แดดแจ้ง แต่อากาศเย็นสบาย

กาแฟรสดี ราคาไม่แพง ของร้านกาแฟโรงสีด้านหน้าเป็นปั๊มแก๊สแอลพีจี ก่อนถึงแยกพ่อขุนผาเมือง เจ้าของร้านน่ารักมนุษย์สัมพันธ์ดี

ที่เพชรบูรณ์ อากาศดี มีร้อนบ้างช่วง กลางปี แต่ถ้าขึ้นเขา อากาศเย็นหรือมาแค่หล่มสัก นี่ก็อากาศเย็นกว่าในตัวเมือง


วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2554

Steve Jobs ผู้พลิกหน้าประวัติศาสตร์แห่งเทคโนโลยี

การเป็นคนดีหรือเป็นคนเก่ง ไม่ได้เกิดเพราะความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์เสมอไป
หรือ แม้แต่ชาติกำเนิด ก็ไม่ได้การันตีความสำเร็จในชีวิตของใครได้
แต่กลับกลาย.เป็นการล้มที่ไม่ยอมแพ้..ที่สร้างให้เกิดวิสัยทัศน์อันกว้างไกล
ให้คนธรรมดาหนึ่งคน...กลายเป็นตำนาน
steve jobs 1995-2011
ผู้ก่อตั้ง Apple ได้จากโลกนี้ไปแล้ว ด้วยวัย 56 ปี เขาต่อสู้กับโรคร้ายตลอดปีที่ก่อนการเสียชีวิตเขาลาออกจากตำแหน่ง CEO ของ สตีฟ จ๊อบส์ หรือว่าอันที่จริงโรคมะเร็งตับที่เขาเคยรักษา ก่อนที่เขาจะกลับมารับตำแหน่งใน apple นั้นยังไม่ได้หายขาด

และในวันที่ สตีฟ จ๊อบส์ เสียชีวิต โฮมเพจของ Apple เปลี่ยนมาเป็นภาพแบบเต็มหน้า Steve Jobs และข้อความ "Steve Jobs 1955-2011." เบื้องหลังเป็นคำไว้อาลัย ถึงการสูญเสีย Jobs ที่กล่าวถึง การสูญเสียวิสัยทัศน์ และ นวัตกรรมอันอัจฉริยะ ของ Apple เลยทีเดียว ไม่เพียงแค่นั้น ด้วยความเป็น Jobs นั้นเรียกได้ว่าพิเศษกว่าที่ใครๆในโลกจะคิดถึงได้ ซึ่งข้อนี้คนที่เคยติดตาม หรือ อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับ Jobs จะรู้ดีถึงเรื่องนี้ และข้อความนั้นคือ....

"Apple has lost a visionary and creative genius, and the world has lost an amazing human being,".

"Those of us who have been fortunate enough to know and work with Steve have lost a dear friend and an inspiring mentor. Steve leaves behind a company that only he could have built, and his spirit will forever be the foundation of Apple."
Steve Job จากไปหลังการขึ้นเวทีประกาศ iPhone 4S เพียงหนึ่งวันเท่านั้น และครอบครัวของ Steve Jobs ได้บอกกล่าวถึงการจากไปของสตีฟ จ๊อป ที่จากไปอย่างสงบ ท่ามกลางญาติมิตรในครอบครัว
"Steve died peacefully today surrounded by his family. In his public life, Steve was known as a visionary; in his private life, he cherished his family. We are thankful to the many people who have shared their wishes and prayers during the last year of Steve’s illness, a website will be provided for those who wish to offer tributes and memories.

"We are grateful for the support and kindness of those who share our feelings for Steve. We know many of you will mourn with us, and we ask that you respect our privacy during our time of grief. "

ข่าวของ Jobs กระจายไปในวงกว้างอย่างรวดเร็ว แม้แต่ประธานาธิบดี โอบามาและภรรยา ก็ได้ส่งข้อความแสดงความเสียใจ และยังกล่าวว่า Steve Jobs เป็นนักประดิษฐ์ชาวอเมริกันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่ง ที่กล้าคิดกล้าทำ ในสิ่งที่แตกต่าง อย่างเชื่อมั่น ในการจะเปลี่ยนแปลงโลก

"Michelle and I are saddened to learn of the passing of Steve Jobs." President Obama said in a written statement.
"Steve was among the greatest of American innovators - brave enough to think differently, bold enough to believe he could change the world, and talented enough to do it."

ชีวิตเหมือนนิยายของ สตีฟ จ๊อบส์ เริ่มต้นอย่างไม่ราบรื่นนัก เมื่อสตีฟน้อยเกิด เขาถูกยกให้เป็นลูกบุญธรรมของครอบครัว จ๊อบส์ เพราะพ่อ อับดุลฟัตตะห์ จันดาลี นักศึกษาชาวซีเรีย กับ แม่ โจแอน ซิมป์สัน ทั้งสองยังเป็นนักศึกษาวัยรุ่น ไม่มีความพร้อมหลายประการ ทั้งๆ ที่ตอนแรกหนุ่มสาวทั้งคู่ผู้เป็นพ่อแม่แท้จริงได้พยายามจะยกให้ครอบครัวอื่นที่มีความพร้อมและมีการศึกษาสูง
เพราะทั้ง พอล กับ คลาร่า จ๊อบส์ ไม่ได้จบ ไฮสคูล หรือมหาวิทยาลัยใดๆ เป็นชนชั้นแรงงาน ที่อาศัยอยู่ในย่าน ซิลิคอนวัลเลย์ แต่ทั้งพอลและคลาร่าก็ได้ให้คำมั่นสัญญาอย่างหนักแน่น ที่จะเลี้ยงดูสตีฟ อย่างดี และจะส่งให้เข้าเรียนจนจบในมหาวิทยาลัยให้ได้
สตีฟเติบโตมาในครอบครัวที่อบอุ่นของพ่อแม่บุญธรรม และแม้ว่า ซิลิคอนวัลเลย์ เป็นแหล่งโรงงานและคนยากจน แต่ก็อยู่ท่ามกลางอุตสาหกรรมผลิตซอฟต์แวร์ และบริษัทไอทีชั้นนำมากมาย เบ้าหลอมสามารถทำให้สิ่งต่างๆ ขึ้นรูปได้ สถานที่อยู่กับคนที่แวดล้อมก็เช่นกัน
พอล จ๊อบส์ พ่อบุญธรรมของเขา ทำงานเป็นช่างเครื่องให้กับบริษัทผลิตเลเซอร์ ซึ่งก็เป็นเรื่องโชคดีที่ทำให้สตีฟ ได้เรียนรู้การใช้เครื่องมือ มีทักษะความเป็นช่าง และได้เรียนรู้เรื่องอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ จากเพื่อนบ้านอย่าง แลร์รี่ แลง วิศวกรด้านอิเล็กทรอนิกส์ที่ทำงานให้กับ ฮิวเลตต์ แพคการ์ด, คุณครูหัวก้าวหน้าที่ จ๊อบส์บอกว่าเป็นเหมือนนักบุญในชีวิต ครูเท็ดดี้ เข้าใจในตัวตนของสตีฟ ช่วยทุกวิถีทางเพื่อให้เขายืนอยู่บนโลกใบนี้ได้แบบเข้าใจ
ตอนอยู่เกรดสี่ จ๊อบส์ฉายแววความเป็นอัจฉริยะ ด้านวิศวกรรม ออกมา ครูจึงเสนอให้เขาข้ามไปเรียนชั้นมัธยม Crettender Middle School แต่ที่นี่เขาถูกเด็กเกเรในโรงเรียน รังแกบ่อยครั้ง จนวันหนึ่ง เขาได้ขอร้องพ่อแม่บุญธรรมว่า ถ้าเขาไม่ได้ย้ายไปเรียนที่อื่น เขาก็จะไม่ไปเรียน พ่อแม่ยอมทำตามใจเขา ครอบครัวจ๊อบส์ จึงได้ย้ายไปอยู่ ลอสอัลตอส และส่งจ๊อบส์ เข้าเรียนที่ Cupertino Junior School และที่นี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นความสำเร็จที่จะมีในอนาคตของ จ๊อบส์
steve jobs
ยิ่งเขาโตมากขึ้นความสนใจในอิเล็กทรอนิกส์ก็มากขึ้น ตามวัยที่โตขึ้น และเครื่องมืออิเล็กทรอนิคส์ที่เขาเคยพูดถึง “ฮีทคิท” ก็เป็นอีกสิ่งที่ จ๊อบส์ หลงใหลเอามาก
“ฮีทคิทพวกนี้ มาพร้อมกับคู่มือการประกอบส่วนต่างๆ เข้าด้วยกัน และ แจกแจงไว้อย่างชัดเจน คุณสามารถทำได้ด้วยตัวของคุณเอง ผมอยากบอกว่า มันเป็นสิงที่ให้อะไรเราได้หลายอย่าง ทำให้เราเข้าใจว่ามีอะไรอยู่ในผลิตภัณฑ์ที่เสร็จสมบูรณ์นี้และมันทำงานอย่างไร

ที่เป็นเช่นนี้ เพราะมันได้รวมเอาทฤษฎีการจัดการต่างๆ เข้าด้วยกัน ทำให้เรารู้ว่า สิ่งที่เราเห็นรอบๆ ตัวในจักรวาลแห่งนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ลึกลับ เป็นสิ่งที่เกิดจากกระบวนการสร้างสรรค์ในตัวคนเรานี่เอง ไม่ใช่เวทย์มนต์ใดๆ
ภายใต้ความไม่รู้ของคนคนหนึ่ง มันนำมาซึ่งความเชื่อมั่นในตัวเองที่ยิ่งใหญ่ ความเชื่อมั่นที่มาจากการสำรวจตรวจตราและเรียนรู้ให้เข้าใจลึกซึ้งยิ่งๆขึ้น ในความซับซ้อนของสิ่งต่างๆ รอบตัว และชีวิตในวัยเด็กของผมก็โชคดีมากที่เป็นอย่างนั้น”
ช่วงมัธยมปลาย สตีฟ เข้าเรียน ที่ Homstead High School เลือกเรียนวิชาอิเล็กทรอนิกส์ และทำงานที่ โรงงานฮิวเลตต์ แพคการ์ด แล้วชีวิตของจ๊อบส์ก็ได้พบกับเพื่อนที่อนาคตคือผู้ร่วมกันพลิกโลกใบนี้ เมื่อเพื่อนบ้าน บิล เฟนานเดส ได้แนะนำให้เขาได้พบเพื่อนรุ่นพี่ที่ชำนาญด้านคอมพิวเตอร์ สตีเฟ่น วอซเนียก ตอนที่ทั้งสองรู้จักกัน สตีฟ อายุ 14 ส่วน วอซ อายุ 19 ทั้งสองคนมีความชอบและความคิดที่คล้ายๆ กัน คุยกันเรื่องระบบอิเล็กทรอนิกส์ และ วอซ นี่แหล่ะที่ต่อมาคือผู้ที่ร่วมกับจ๊อบส์ในการก่อตั้ง แอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์
ที่สุด จ๊อบส์ ก็ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยรีด สำเร็จตามคำมั่นสัญญาที่ ครอบครัวจ๊อบส์ให้ไว้กับ โจแอน แต่จ๊อบส์ก็ตัดสินใจหยุดเรียน ประการแรก ค่าเล่าเรียนในมหาวิทยาลัยรีดแพงมาก เงินที่พ่อแม่บุญธรรมหามาต้องแลกกับการทำงานหนักมาก และเขารู้สึกว่าสิงที่เขากำลังเรียนอยู่ในสถาบัน ไมได้ช่วยให้เข้ารู้เลยว่าจะทำอะไรต่อไปในชีวิต
หลังพักการเรียน เขาต้องอาศัยนอนที่พื้นห้องของเพื่อน หารายได้โดยการเก็บขวดโค้กไปแลกเป็นส่วนลด 5 เซนต์ ต้องเดินทางไกลกว่า 7 ไมล์เพื่อร่วมกิจกรรมและรับอาหารดีๆ หนึ่งมือที่โบสถ์ Here Krishna จากการใช้ชีวิตแบบนี้ จ๊อบส์ รู้ว่ามันไม่เพียงไม่สามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆได้ มันยังไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น เขากลับเข้าไปเรียนอีกครั้งโดยลงเรียนเฉพาะสาขาการประดิษฐ์ตัวอักษร ซึ่งเป็นสาขาที่สนใจจริงๆ และช่วงนี้แหล่ะ เขาได้พบกับมุมมองความคิดที่เป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จ จ๊อบส์เริ่มศึกษา “พุทธศาสนานิกายเซน” เขาอ่านวรรณกรรมหลายเล่มมาก และ เล่มที่มีอิทธิพลต่อชีวิตความคิดของ สตีฟ จ๊อบส์ คือ “Zen Mind” และ ”Beginner’s Mind” ของอาจารย์ ซุนริว ซูซูกิ
เขาเริ่มฝึกสมาธิในห้องนอนแคบๆ ที่อยู่ร่วมกับ แดเนียล คอตกี เขาเรียนอยู่ปีครึ่ง ก็หยุดเรียนถาวรและไม่ได้กลับไปเรียนอีก หลังจากลาออก
People think focus means saying yes to the thing you've got to focus on.
But that's not what it means at all.
It means saying no to the hundred other good ideas that there are.
You have to pick carefully.
คนส่วนใหญ่คิดว่าการมุ่งมั่นในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
คือการตอบรับทุกแนวทางที่จะนำพาไปสู่ปลายทางความมุ่งหมายนั้น
มันไม่ได้หมายความอย่างนั้นเลยสักนิด
เพราะจริงๆ มันคือการที่คุณต้องปฎิเสธไอเดียดีๆ อีกนับร้อยที่มี
โดยการเลือกขึ้นมาเพียงหนึ่ง
จ๊อบส์ ก็ทำงานเป็นช่างเทคนิคใน Atari ต่อมาเขาได้ขอพักงาน เพื่อเดินทางไปค้นหาเกี่ยวกับการรู้แจ้งทางศาสนาพุทธนิกายเซนใน อินเดีย เป็นเวลา 1 เดือน พร้อมกับ แดเนียล คอตคี เขากลับมาพร้อมกับการเป็นพุทธศนิกชนเต็มตัว สวมเสื้อผ้าแบบอินเดียโบราณ โกนศีรษะ ทานมังสวิรัติ และไปยังศูนย์ พุทธศาสนานิกายเซนที่ ลอสอัลตอส อยู่เสมอ
เขากลับเข้าทำงานใน Atari และได้รับมอบหมายให้ออกแบบ Circuit Board โดยเสนอ ให้ค่าตอบแทนเพิ่ม ทุก 100 ดอลล่าร์ ต่อการลดชิพ 1 ตัว จ๊อปส์ ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องการออกแบบ Circuit มากนัก จึงตกลงกับ วอซ ซึ่งตอนนั้นทำงานอยู่ที่ ฮิวเลตต์ ว่าจะแบ่งโบนัสให้เท่ากัน ถ้าวอซ สามารถลดชิพลงได้ ในที่สุด วอซ สามารถลดจำนวนชิพลงได้ 50 ตัว (ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถถอดแบบไปทำซ้ำในการผลิตได้ แต่ Atari ก็จ่ายให้ตามที่ตกลง
ในปี 1976 สตีฟ อายุได้ 21 ปี เขากับ วอซ ได้ลาออกจากบริษัท แล้วใช้โรงรถบ้านตัวเองตั้งบริษัท Apple Computer โดยร่วมกับเพื่อนอีกคน โรนัลด์ เวย์น พวกเขาช่วยกันคิดค้นสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรก Apple I ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 666.66 ดอลล่าร์ หรือราว 2,600 ดอลล่าร์ ถ้าเทียบเป็นค่าเงินปัจจุบัน

หลังจากนั้น อีก 1 ปี Apple II ก็ออกสู่ตลาด และประสบความสำเร็จอย่างมาก ในตลาด Home Computer ถึงตอนนี้ Apple Computer ก็กลายเป็นผู้ผลิตสำคัญในวงการอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล
ในปี 1980 Apple ก็วางตลาด Apple III ถึงแม้ว่าประสบความสำเร็จน้อยกว่าเดิม แต่ Apple ก็กลายเป็น บริษัทมหาชน มีรายได้นับพันล้านเหรียญสหรัฐ
I was worth over $1,000,000 when I was 23
and over $10,000,000 when I was 24,
and over $100,000,000 when I was 25,
and it wasn't that important
because I never did it for the money.

ผมหาเงินได้ หนึ่งล้าน ดอลลาร์ เมื่ออายุ 23
และเพิ่มมากกว่า สิบล้านดอลลาร์ เมื่ออายุ 24
และมากกว่า หนึ่งร้อยล้านดอลลาร์ เมื่ออายุ 25
และนั่นมันไม่ได้สลักสำคัญอะไร เพราะว่าทุกสิ่งที่ผมทำ ผมไม่ได้ทำเพื่อเงิน
เมื่อบริษัท กำลังเติบโต จ๊อบส์ จึงต้องการผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการบริหารเพื่อมาช่วยแบ่งเบาภาระ คนๆ นั้น คือ จอห์น สกัลลีย์ จาก Pepsi-Cola ซึ่งจ๊อบส์ได้กล่าวท้าทาย จอห์นในการพบกันครั้งแรก และทำให้กลายเป็นวาทกรรมที่โด่งดัง ว่า..
“"Do you want to sell sugar water for the rest of your life, or do you want to come with me and change the world?"

"คุณต้องการจะใช้ชีวิตที่เหลือไปกับการขายน้ำใส่น้ำตาล หรือ คุณจะมาเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้กับผม"

Steve Jobs and Bill Gates(MacWorld Expo)

Jobs จากไปจริง แต่วาทะกรรม แรงบันดาลใจ งานสร้างสรรค์ ที่ส่งต่อให้เพื่อนร่วมโลก มีมากมาย เขาคือ มนุษย์ที่เยี่ยมยอดคนหนึ่ง ในประวัติศาสตร์โลกเลยทีเดียว

วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2554

นิทานหนูน้อยกับร่มสีแดง

ณ หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง ฝนแล้งมานาน ทำให้ชาวบ้านเพาะปลูกไม่ได้ พืชผลที่ได้ตระเตรียมไว้ก็เสียหาย
Temple

พระจึงระดมชาวบ้านในหมู่บ้านร่วมกันทำพิธีขอฝน โดยนัดมารวมกันและทำพิธีในวัด

มีเด็กน้อยคนหนึ่งแทรกตัวอยู่ในกลุ่มชาวบ้านที่มาร่วมพิธีขอฝน แต่เพราะเจ้าหนูตัวเล็กมากจึงไม่มีใครสังเกตุเห็น

แต่สิ่งที่อยู่ในมือเจ้าหนูน้อยทำให้พระชี้ไปที่เจ้าหนูน้อย แล้วพูดอย่างตื่นเต้น

"หนูน้อยนั่นทำให้อาตมารู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก"

ชาวบ้านมองตามก็เห็นหนูน้อยยืนถือร่มสีแดงอยู่

"วันนี้ เรามารวมกันเพื่ออธิษฐานขอฝน
แต่กลับไม่มีใครสักคนเอาร่มมาเลย
แต่ดูหนูน้อยนี้ซิเธอถือร่มมาร่วมพิธีด้วย"

ทุกคนนิ่งเงียบกันไปชั่วครู่ และแล้ว

เสียงปรบมือก็ดังสนั่นหวั่นไหวประสานกับน้ำตาของความซาบซึ้งใจ


child and red umbrella

เด็กเล็ก ๆ เธอเล็กเพียงแค่ร่างกาย หัวใจของพวกเธอยิ่งใหญ่นัก เธอมีจิตใจรัก และความเชื่อมั่นที่ยิ่งใหญ่
และเราอาจหลงลืมไปแล้วว่า  เด็กเล็กๆ คนนี้ก็เคยอยู่ในตัวเรามาก่อน แต่เมื่อเวลาผ่านไปเราเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ สิ่งที่พบปะ ระหว่างการเดินบนเส้นทางของชีวิต ทำให้เราทอดทิ้งสิ่งดีๆ ที่เราเคยมีบางสิ่งไป


You might also like:

ก่อกองไฟ

เทียนไข 2 เล่ม
แนวคิดแบบอินเดีย

นิทานอินเดีย