Search

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

การขอเงินคืนโครงการรถยนต์คันแรก

โค้งสุดท้ายกับโครงการรถยนต์คันแรก

การยื่นเอกสารขอใช้สิทธิ์รถยนต์คันแรก

  1. การยื่นเอกสารเพื่อขอใช้สิทธิ์และการขอรับสิทธิ์รถยนต์คันแรก ต้องดำเนินการด้วยตนเอง หรือไม่ก็มอบอำนาจให้ผู้อื่นกระทำการแทนได้

  2. เมื่อเอกสารครบสามารถยื่นเอกสารเพื่อขอใช้สิทธิ์ได้ที่สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่/พื้นที่สาขา ทั่วประเทศ

  3. กรมสรรพสามิตจะเริ่มดำเนินการก็ต่อเมื่อผู้ยื่นคำขอใช้สิทธิ์รถยนต์คันแรกมีเอกสารครบถ้วนตามที่ได้มีการกำหนดไว้แล้วเท่านั้น ดังนั้นควรรวบรวมเอกสารให้ครบแล้วไปยื่นดำเนินการขอรับสิทธิ์

  4. หากยังได้รับเอกสารไม่ครบถ้วนก่อนวันสิ้นสุดโครงการฯ ไม่สามารถยื่นเอกสารได้ทันตามกำหนดเวลาก็จะไม่สามารถใช้สิทธิ์ในโครงการฯ นี้ได้

  5. หากรับมอบรถยนต์แล้ว ไม่นำเอกสารมาส่งเพิ่มเติมภายใน 90 วัน นับถัดจากวันรับมอบรถยนต์ จะถือว่าหมดสิทธิ์ในโครงการรถยนต์คันแรก และจะเรียกร้องสิทธิ์ฯ และค่าเสียหายใด ๆ กับทางราชการไม่ได้

  6. การยื่นเอกสารเพื่อขอใช้สิทธิ์นั้น ต้องทำภายในวันที่ 16 ก.ย. 2554 - 31 ธ.ค. 2555 แต่เอกสารหลักฐานต้องครบถ้วนตามแบบคำขอฯ และไม่จำเป็นต้องรอให้ครอบครองรถไปแล้วมากกว่า 1 ปี


เอกสารที่ต้องใช้ยื่นขอใช้สิทธิ์รถยนต์คันแรก

  1. สำเนาทะเบียนบ้าน บัตรประชาชนของผู้ซื้อรถ(ผู้ใช้สิทธิ์รถคันแรก)

  2. หนังสือยินยอมสละสิทธิ์การโอนภายใน 5 ปี ดาวน์โหลดหนังสือยินยอมสละสิทธิ์การโอนรถยนต์คันแรก
    • ความหมายของผู้ให้เช่าซื้อ/ผู้ขาย ในหนังสือสละสิทธิ์การโอนฯ คือผู้ที่มีอำนาจลงนามแบ่งเป็นกรณีเช่าซื้อและซื้อเงินสด
      1. กรณีเช่าซื้อ ผู้ลงนามคือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากบริษัทให้สามารถลงนามผูกพันแทนบริษัทได้ ขึ้นอยู่กับนโยบายของบริษัทผู้ให้เช่าซื้อจะเป็นผู้กำหนด
      2. กรณีซื้อเงินสด ผู้ขาย(โชว์รูม) ไม่ต้องลงนามแต่อย่างใด เพราะกรรมสิทธิ์ได้ตกไปสู่ผู้ซื้อแล้ว
    • กรณีปิดไฟแนนซ์ก่อนยื่นคำขอใช้สิทธิ์ เช่น วันที่ 1 พ.ย. 54 ซื้อรถยนต์โดยวิธีเช่าซื้อ วันที่ 1 ก.พ. 55 นำเงินไปปิดกับผู้ให้เช่าซื้อ (Finance) และโอนกรรมสิทธิ์เป็นของผู้เช่าซื้อ ยื่นคำขอใช้สิทธิ์ วันที่ 1 มี.ค. 55 หนังสือยินยอมสละสิทธิ์การโอนไม่จำเป็นต้องให้ผู้ให้เช่าซื้อเซ็นต์เนื่องจากกรรมสิทธิ์ได้ตกเป็นของผู้เช่าซื้อแล้ว แต่ผู้เช่าซื้อต้องถือครองรถยนต์ต่อไปอีกไม่น้อยกว่า 5 ปี
    Pickup

  3. หลักฐานการซื้อขาย หมายถึงเอกสารหลักฐานที่แสดงว่ามีการซื้อขายรถยนต์ เช่น
    • สำเนาใบเสร็จรับเงินค่าเงินดาวน์ หรือสำเนาใบเสร็จรับเงินชั่วคราว
    • สำเนาใบกำกับสินค้า/ใบกำกับภาษี
    • สำเนาใบเสร็จรับเงินค่างวดงวดแรก หรือสำเนาใบรับเงิน

  4. กรณีเช่าซื้อ
    • ใช้สำเนาใบเสร็จรับเงินค่าเงินดาวน์มาแสดงเป็นหลักฐานได้
    • สำเนาใบเสร็จรับเงินค่างวดงวดแรกเพื่อเป็นหลักฐานประกอบในการยื่นเอกสารแทน
    เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบหลักฐาน เช่น ชื่อ-นามสกุลของผู้ขอใช้สิทธิ์, ชื่อบริษัทผู้ให้เช่าซื้อ, และเลขที่สัญญาเช่าซื้อให้ตรงกับหลักฐานที่ปรากฎตามสำเนาหนังสือสัญญาเช่าซื้อที่ผู้ขอใช้สิทธิ์ได้ยื่นมาพร้อมกัน (รายละเอียดของรถยนต์ปกติจะอยู่ในสำเนาสัญญาเช่าซื้อ)

  5. เอกสารใบเสร็จรับเงิน/สัญญาซื้อขาย/สัญญาเช่าซื้อ ให้ใช้เป็นตัวสำเนาไม่จำเป็นต้องใช้ตัวจริงและผู้ซื้อรับรองสำเนาถูกต้อง

  6. หากเอกสารหลักฐานการซื้อขายรถยนต์ ไม่ครบถ้วน (ใบเสร็จรับเงิน/ใบจอง/สัญญาซื้อขาย/เอกสารการรับมอบรถยนต์) จัดการได้ 2 กรณี
    • ซื้อเงินสด-ใช้สำเนาใบเสร็จรับเงินหรือสำเนาซื้อขายและสำเนาเอกสารการรับมอบรถยนต์
    • กรณีเช่าซื้อ-ใช้สำเนาใบเสร็จรับเงินและสำเนาเอกสารการรับมอบรถยนต์

ผู้ที่มีสิทธิ์ซื้อรถในโครงการรถยนต์คันแรก

    People over 21 years old can get right of the first car project
  1. ผู้ซื้อต้องมีอายุ 21 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป นับจากวันที่เริ่มจองรถ ตามเงื่อนไขการขอใช้สิทธิ์ซึ่งการซื้อนั้นเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ทำสัญญาว่าจะซื้อหรือการจองรถ ดังนั้นหากผู้ยื่นคำขอมีอายุไม่ถึง 21 ปี นับตั้งแต่วันเริ่มจองรถก็จะไม่ได้รับสิทธิ์ในโครงการนี้

  2. ผู้ซื้อที่อายุ 60 ปีขึ้นไป สามารถใช้สิทธิ์ได้ เนื่องจากไม่ขัดกับเงื่อนไขที่ได้มีการกำหนด

  3. ผู้ที่ไม่ได้เสียภาษีบุคคลธรรมดามีสิทธิ์ในโครงการรถยนต์คันแรกเช่นเกัน เนื่องจากเงื่อนไขในแบบคำขอใช้สิทธิ์ไม่ได้กำหนดไว้

  4. ชาวต่างชาติที่ไม่มีบัตรประชาชนไม่สามารถใช้สิทธิ์ได้ เพราะการเข้าร่วมโครงการฯ ได้หรือไม่นั้นต้องใช้เอกสารบัตรประชาชนเป็นหลักฐานในการอ้างอิงด้วย

  5. ผู้สนใจเข้าโครงการรถยนต์คันแรกสามารถตรวจสอบสิทธิ์ โดยการสอบถามไปยังกรมการขนส่งทางบก ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีข้อมูลการครอบครองรถยนต์

  6. หากผู้ซื้อเป็นกรรมการบริษัท/สหกรณ์จะยังคงสามารถใช้สิทธิ์เข้าร่วมโครงการฯได้ หากว่าผู้ขอใช้สิทธิ์ฯโครงการรถยนต์ใหม่คันแรกเป็นบุคคลธรรมดาที่ไม่เคยครอบครองรถยนต์มาก่อน

  7. สามีภรรยาที่จดทะเบียนสมรสหากคนใดคนหนึ่งเคยครอบครองรถมาแล้ว ในกรณีนี้ถ้าผู้ซื้อและขอใช้สิทธิ์ฯยังไม่เคยมีชื่อเป็นผู้ครอบครองรถยนต์กับทางกรมการขนส่งทางบกก็สามารถใช้สิทธิ์เข้าร่วมโครงการนี้ได้ เนื่องจากการใช้สิทธิ์เข้าร่วมโครงการถือเป็นสิทธิส่วนบุคคล และวัตถุประสงค์หลักของโครงการตามนโยบายของรัฐบาล คือการช่วยเหลือสำหรับผู้ที่ไม่เคยครอบครองรถมาก่อน

  8. การทำสัญญากู้ร่วมสามารถทำได้ แต่หากผู้กู้ร่วมเคยมีชื่อครอบครองรถมาก่อนแล้ว การกู้ร่วมไม่สามารถทำได้เนื่องจากการกู้ร่วมนั้นจะถือว่าบุคคลที่มีชื่ออยู่ในสัญญาเป็นผู้ครอบครองรถด้วย แต่ในกรณีการค้ำประกันนั้นสามารถทำได้แม้ผู้ค้ำประกันจะเคยครอบครองรถมาก่อนก็ตาม

  9. บริษัท/ห้างหุ้นส่วนจำกัด ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการฯ ได้ เนื่องจากเงื่อนไขกำหนดเฉพาะบุคคลที่มีอายุ 21 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปเท่านั้น

  10. เคยครอบครองรถก่อนปี 2549 ไม่มีสิทธิ์ เข้าร่วมโครงการฯ เนื่องจากรถที่เข้าร่วมโครงการต้องเป็นรถคันแรกของผู้ซื้อเท่านั้น

  11. โครงการนี้เป็นการจ่ายเงินตามสิทธิ์โดยถือจำนวนตามค่าภาษีสรรพสามิตตามที่จ่ายจริงสำหรับรถยนต์ใหม่คันแรกเท่านั้น เพราะฉะนั้นหากซื้อรถมือสองก็จะไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้

  12. โชว์รูมขายรถยนต์ใหม่ให้แก่บริษัทผู้ให้เช่าซื้อ (Finance) ต่อมาบริษัทผู้ให้เช่าซื้อขายรถยนต์คันดังกล่าวต่อให้แก่ผู้เช่าซื้อ ผู้เช่าซื้อไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการรถยนต์ใหม่คันแรกเนื่องจากรถยนต์คันดังกล่าวที่ซื้อจากบริษัทผู้ให้เช่าซื้อไม่ถือว่าเป็นรถยนต์ใหม่คันแรก

  13. โครงการนี้ไม่มีการกำหนดจำนวนของรถที่จะเข้าโครงการฯ แต่มีการกำหนดระยะเวลาคือตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย. 2554 – 31 ธ.ค. 2555

  14. ผู้ที่ใช้สิทธิ์ในโครงการรถยนต์คันแรกแล้ว จะยังคงมีสิทธิ์ในโครงการบ้านหลังแรก เพราะโครงการทั้งสองเป็นโครงการที่แยกจากกัน โดยมีวัตถุประสงค์ในการช่วยเหลือให้โอกาสแก่ประชาชน ดังนั้น หากแม้เข้าร่วมในโครงการใดโครงการหนึ่งก็ยังสามารถเข้าร่วมอีกโครงการหนึ่งได้

  15. ข้อมูลสำหรับผู้ซื้อรถยนต์ที่ต้องการเข้าร่วมในโครงการรถยนต์คันแรกสามารถตรวจสอบรายละเอียดเงื่อนไขในการขอใช้สิทธิ์วิธีการดำเนินการ ยี่ห้อ/รุ่นรถยนต์ และจำนวนเงินที่ได้รับได้ผ่านทางเวปไซต์ของกรมสรรพาสามิตในโครงการรถยนต์ใหม่คันแรก http://www.excise.go.th

เรื่องอื่นๆ ที่ควรรู้เกี่ยวกับรถยนต์คันแรก

City Car
  1. เกณฑ์รถยนต์คันแรก คือ รถยนต์นั่งกระบอกสูบไม่เกิน 1500 CC หรือ รถกระบะ Pickup / กระบะสี่ประตู Double Cab (รถกระบะไม่จำกัด CC)

  2. เงื่อนไขการขอใช้สิทธิ์รถยนต์คันแรก ต้องเป็นรถยนต์ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท/คัน จากราคาขายปลีกไม่รวมดอกเบี้ยที่เกิดจากการเช่าซื้อ

  3. รถยนต์ที่เข้าร่วมโครงการได้ต้องเป็นรถยนต์ที่ผลิตภายในประเทศเท่านั้น ดังนั้นรถยนต์ยี่ห้อฮอนด้ารุ่นที่ได้รับการช่วยเหลือด้านภาษีนำเข้าเพื่อทดแทนรถยนต์น้ำท่วม ตามมติคณะรัฐมนตรี ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการรถยนต์คันแรกได้

  4. กรณีของรถยนต์น้ำท่วมที่เป็นการเช่าซื้อและยังผ่อนชำระยังไม่ครบ/ยังไม่ได้โอนกรรมสิทธิ์ สามารถลงทะเบียนและขอใช้สิทธิ์ซื้อรถยนต์ใหม่ได้ แต่แจ้งหยุดใช้รถยนต์ตลอดไปเนื่องจากถูกน้ำท่วมที่กรมการขนส่งทางบกหรือขนส่งจังหวัด และผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่แท้จริง (Finance) ต้องเป็นผู้แจ้ง

  5. สำหรับเงื่อนไขโครงการนี้ คือผู้ซื้อต้องครอบครองรถยนต์ไม่น้อยกว่า 5 ปี เว้นแต่กรณีเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ที่กระทรวงการคลังประกาศกำหนด ไม่ได้หมายถึงต้องผ่อนชำระกับทางผู้ให้เช่าซื้อเป็นเวลา 5 ปี จะสามารถผ่อนชำระนาน/สั้นกว่า 5 ปีได้ เพราะการผ่อนชำระเป็นสิทธิ์ตามแต่ที่ได้มีการตกลงกันระหว่างผู้ซื้อกับผู้ให้เช่าซื้อ

  6. ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ก่อนครบกำหนดระยะเวลา 5 ปี ตามมาตรการรถยนต์คันแรก และมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยรถยนต์น้ำท่วม ข้อ 1.8 หมายถึงการเปลี่ยนแปลงบริษัทที่เช่าซื้อ (Refinance)

  7. กรณีซื้อรถยนต์เป็นเงินสด ต่อมานำรถคันดังกล่าวไปทำสัญญาเช่าซื้อกับบริษัทไฟแนนซ์ สิทธิ์ในโครงการรถยนต์คันแรกไม่สูญเสียไป หากการทำสัญญาเช่าซื้อนั้น ไม่มีการเปลี่ยนแปลงชื่อผู้ครอบครองรถยนต์

  8. โครงการนี้เป็นการจ่ายเงินตามสิทธิ์โดยถือจำนวนตามค่าภาษีสรรพสามิตตามที่จ่ายจริง ซึ่งรถแต่ละชนิดเสียภาษีสรรพสามิตในอัตราที่ต่างกัน และแต่ละรุ่นมีการยื่นแบบชำระภาษีเป็นจำนวนเงินไม่เท่ากัน และนั่นก็เป็นเหตุให้รถแต่ละชนิดได้รับเงินจากการใช้สิทธิ์ไม่เท่ากัน

  9. หากต้องการขอยกเลิกการใช้สิทธิ์ต้องทำเป็นหนังสือขอยกเลิกอย่างเป็นทางการ
Credit: ข้อมูลการตอบคำถามจากเวปไซต์ของกรมสรรพาสามิตในโครงการรถยนต์ใหม่คันแรก เพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมสอบถามได้ที่ศูนย์ประสานงานการขอใช้สิทธิ์ฯและสำนักงานสรรพสามิตทั่วประเทศ https://firstcar.excise.go.th สายด่วน 1713 หรือ 0-2241-5600-19 ต่อ 54001-54005 วันจันทร์ - ศุกร์ ในเวลาราชการ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น